สะเทือนใจ!!! เรื่องจริงไม่อิงนิยาย ความรักของเจ้าหญิงกับสามัญชนที่จบด้วยการประหารชีวิตทั้งคู่
กฎเกณฑ์ที่แบ่งชาย-หญิงออกจากกันอย่างเข้มงวดมาแต่โบราณของประเทศซาอุดิอาระเบียยังคงจำกัดสิทธิสตรีอย่างเข้มงวดมาจนถึงปัจจุบันนี้
เมื่อปีค.ศ.1977 เกิดเรื่องราวโศกนาฏกรรมความรักของเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งของซาอุฯที่รักกับสามัญชนจนต้องพบกับจุดจบอย่างน่าเวทนา
เจ้าหญิง Mishaal พระชนมายุ 19 พรรษา รักกับ Mulhallal หลานชายของทูตซาอุฯประจำเลบานอน
ขณะนั้นกษัตริย์ Khaled ทรงเป็นกษัตริย์ของซาอุฯ เจ้าหญิง Mishaal เป็นผู้ที่ใฝ่รู้รักการเรียนจึงพยายามต่อสู้กับคำทัดทานของพระบิดาและพระมารดาจนสามารถไปศึกษาต่อมหาวิทยาลัยที่สหรัฐอเมริกา แต่ไม่นึกเลยว่าเส้นทางที่เลือกเดินเพื่อไปเรียนต่อนั้น จะทำให้เจ้าหญิงเดินไปในหนทางสู่ความตาย
ช่วงที่เรียนหนังสือนั้น เจ้าหญิงได้รู้จักกับ Mulhallal พระองค์รู้สึกว่าชายคนนี้วางตัวดีและเป็นคนที่มีมารยาทจึงได้เริ่มคบหาและพัฒนาจนกลายเป็นความรัก
จนกระทั่งเรียนจบเทอม ทั้งสองได้เดินทางกลับซาอุฯในช่วงปิดเทอม และลืมจารีตประเพณีของสังคมซาอุฯที่ชายหญิงห้ามอยู่ด้วยกันตามลำพัง ความรักที่บดบังม่านประเพณีทำให้ทั้งคู่แอบนัดพบกันตามลำพังเป็นประจำเรื่อยมาและถูกจับได้ในที่สุด การกระทำเช่นนี้ผิดกฎหมายชารีอะห์ของอิสลามอย่างร้ายแรง ทำให้ทั้งสองถูกฟ้องข้อหาผิดประเวณี
ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะหนีออกนอกประเทศ โดยเจ้าหญิงปลอมตัวเป็นชาย แต่ก็ถูกจับกุมได้เนื่องจากการตรวจพาสปอร์ตที่ท่าเรือ ตามกฎหมายอิสลาม ความผิดฐานผิดประเวณี ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงมาก ต้องมีผู้ชาย 4 คนมาเป็นพยานยืนยันว่ากระทำผิดจริง หรือยอมรับสารภาพในชั้นศาลด้วยตนเอง จึงจะตัดสินได้ว่ากระทำผิดจริง
การกระทำความผิดฐานผิดประเวณีจะต้องถูกลงโทษด้วยการให้ประชาชนมาปาหินใส่จนตาย
เนื่องจากการนัดพบแบบลับๆของเจ้าหญิงกับ Mulhallal ไม่มีใครมาเป็นพยานชี้ความผิดของทั้งคู่ได้ ครอบครัวของเจ้าหญิงจึงบอกให้เจ้าหญิงอย่ารับสารภาพเด็ดขาด และต้องสัญญาว่าจะไม่พบหน้า Mulhallal อีกตลอดชีวิตเพื่อพ้นจากความผิดนี้ไปได้ แต่เจ้าหญิงกลับไม่ยอมทำตาม และเลือกที่จะรับสารภาพในศาลด้วยการตะโกนว่า "ฉันทำผิดประเวณี" 3 ครั้ง ศาลจึงสั่งประหารชีวิตเจ้าหญิง
ความตายของเจ้าหญิงกับคนรัก ไม่มีสื่อมวลชนรายงานนำเสนอข่าว แต่ว่ากันว่าเพชฌฆาตทำการประหารเจ้าหญิงด้วยการกระหน่ำยิงปืนเข้าที่ศีรษะ ส่วนชายคนรักถูกประหารด้วยการตัดคอ
และโศกนาฏกรรมความรักของเจ้าหญิงซาอุฯกับสามัญชนนี้ก็ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สารคดีโดย Antony Thomas โปรดิวเซอร์ชาวอังกฤษ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านไปนานกว่า 30 ปีแล้ว ประเทศซาอุดิอาระเบียก็ยังคงปิดกั้นสิทธิสตรีเช่นเดิม ความตายของทั้งคู่ไม่ได้นำพาความหวังในการเปิดกว้างทางสังคมมากขึ้นแต่อย่างใด...
เฮ้อ...ฟังเรื่องนี้แล้ว ก็รู้สึกโชคดีจริงๆที่เกิดมาเป็นคนไทย เพราะเมืองไทยเราเปิดกว้างให้ผู้หญิงและเพศที่สามมีสิทธิเสรีภาพเยอะกว่าประเทศไหนๆ จริงไหมเพื่อนๆ
ขอบคุณ http://khaodan.blogspot.com/2015/07/blog-post_37.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น