ลองไปเที่ยว "สิปาดัน" เกาะที่มีทะเลใส ปะการังมากมาย หลากหลายสัตว์ใต้ทะเล ซึ่งสิปาดันไม่ไกลจากประเทศไทย แถมไปได้ง่าย ๆ จ่ายเงินไม่เยอะอีกด้วย

          ใครที่ใฝ่ฝันถึงทะเลสวยใส มีโลกใต้น้ำที่เต็มไปด้วยปะการังและสัตว์ทะเลนานาชนิด รวมถึงอยู่ไม่ไกลจากเมืองไทยมากนัก...ตอนนี้ฝันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว เพราะมีเกาะแห่งหนึ่งใจกลางทะเลเซเลเบส ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย มีภูมิประเทศที่สวยงามคล้ายคลึงกับเกาะมัลดีฟส์ เกาะสวรรค์แห่งนี้มีชื่อว่า "เกาะสิปาดัน" (Sipadan Island)


สิปาดันอยู่ที่ไหน ? นี่คือคำถามยอดฮิตเมื่อเอ่ยถึงเกาะสิปาดัน เพราะหลาย ๆ คนอยากรู้ว่าเกาะสวรรค์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใด สำหรับเกาะสิปาดันห่างจากกรุงเทพมหานครเพียงแค่ประมาณ 4-5 ชั่วโมง เราก็จะได้สัมผัสกับท้องทะเลที่งดงามดั่งดินแดนในฝัน เกาะสิปาดันเป็นเกาะในมหาสมุทรที่โผล่ขึ้นมาจากก้นทะเลประมาณ 600 เมตร ห่างจากทางตอนใต้ของเมือง Semporna รัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย ประมาณ 35 กิโลเมตร ซึ่งในอดีตนั้นเกาะแห่งนี้เป็นพื้นที่พิพาทระหว่างประเทศอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซีย และในปลายปี ค.ศ. 2000 ศาลได้ตัดสินให้เกาะแห่งนี้เป็นของประเทศมาเลเซีย



ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 2000 มีประชาชนในเกาะสิปาดันถูกลักตัวโดยผู้ก่อการร้ายชาวฟิลิปปินส์ แต่ในท้ายที่สุดตัวประกันทั้งหมดได้รับการปล่อยตัวอย่างปลอดภัย นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ทางการของประเทศมาเลเซียได้จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไปเที่ยวยังเกาะสิปาดัน และด้วยความที่เกาะแห่งนี้มีสภาพแวดล้อมและธรรมชาติที่งดงามมาก ในปลายปี 2004 รีสอร์ททั้งหมดในสิปาดันจึงถูกปิดตัวลงและเคลื่อนย้ายไปยังเกาะมาบูล (Mabul) เพื่อให้พื้นที่บริเวณเกาะสิปาดันเป็นเขตอนุรักษ์ นับตั้งแต่เดือนเมษายน ค.ศ. 2008 มีการอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปดำน้ำในบริเวณเกาะสิปาดันเพียงแค่ 120 คนต่อวันเท่านั้น



สิปาดันเป็นเกาะที่รู้จักกันดีในหมู่นักดำน้ำ เป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของโลกที่คนรักการดำน้ำจะต้องมาเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต เพราะสภาพแวดล้อมใต้ท้องทะเลของที่นี่สวยงามและยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก ใต้ท้องทะเลเต็มไปด้วยปะการังหลากหลายสีสันและหลากหลายสายพันธุ์ อีกทั้งสัตว์ใต้น้ำยังมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเต่าทะเลขนาดใหญ่, ปลานกแก้ว, ปลาทูน่า, ปลาฉลามหัวค้อน, ฉลาม, ฉลามวาฬ, ปลา Silver Jack และปลาสายพันธุ์อื่น ๆ อีกกว่า 3,000 สปีชีส์


สภาพแวดล้อมและอากาศบนเกาะสิปาดันก็งดงามไม่แพ้กัน ตัวเกาะมีพื้นที่ราว ๆ 30 ไร่ และถูกปกคลุมด้วยป่าฝน ซึ่งมีความเขียวขจีอยู่ตลอด ส่วนใหญ่จะมีอากาศร้อน มีแสงแดดทุกวัน อุณหภูมิของอากาศเฉลี่ยอยู่ที่ 30-32 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิของน้ำทะเลเฉลี่ยอยู่ที่ 27-30 องศาเซลเซียส ด้วยความที่ไม่เคยประสบกับพายุไต้ฝุ่นหรือภัยพิบัติธรรมชาติ ทำให้พื้นที่แห่งนี้ยังคงสวยงามเสมอและมีความปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยวค่อนข้างมาก



ช่วงที่น่าไปดำน้ำมากที่สุดคือช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-กรกฎาคม ซึ่งบางรีสอร์ทบนเกาะใกล้เคียงจะมีการจองยาวนานล่วงหน้าประมาณ 6 เดือน จึงต้องวางแผนการเดินทางล่วงหน้ากันสักนิด


ภาพจาก CHEN WS/shutterstock.com

          เนื่องจากเกาะสิปาดันเป็นเขตอนุรักษ์จึงไม่มีรีสอร์ทตั้งอยู่บนเกาะ นักท่องเที่ยวจึงต้องพักที่รีสอร์ทบนเกาะใกล้เคียงอย่างเกาะมาบูล (Mabul) และเกาะคาปาไล (Kapalai) รวมทั้งเกาะมาตากิง (Mataking) และเกาะปอม ปอม (Pom Pom) ซึ่งรีสอร์ทแต่ละแห่งก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกและรูปแบบการสร้างที่แตกต่างกันออกไป แต่มีทัศนียภาพที่สวยงามเหมือนกัน ด้วยส่วนใหญ่จะสร้างอยู่บนท้องทะเลสีฟ้าใสราวคริสตัล สามารถมองเห็นปะการังใต้ท้องทะเลได้อย่างชัดเจนและยังดำน้ำตื้นได้จากที่พักอีกด้วย จึงทำให้เกาะสิปาดันและหมู่เกาะใกล้เคียงได้รับฉายาว่าเป็นมัลดีฟส์แห่งตะวันออก

          การเดินทางไปยังสิปาดัน สามารถเดินทางได้หลายวิธี แต่วิธีที่สะดวกที่สุดคือนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินตาวาอู (Tawau airport) เมืองตาวาอู รัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นสนามบินที่ใกล้เกาะสิปาดันมากที่สุด โดยมีเพียงสายการบินเดียวเท่านั้นที่บินตรงจากกรุงเทพมหานครไปยังสนามบินตาวาอู คือสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ แต่นักท่องเที่ยวสามารถไปต่อเครื่องบินได้ที่เมืองกัวลาลัมเปอร์และเมืองโคตาคินาบาลู เพราะมีสายการบินแอร์เอเชียอีกหนึ่งสายการบินที่ให้บริการจากเมืองดังกล่าวไปยังเมืองตาวาอู จากสนามบินนั่งรถโดยสารประจำทางไปยังท่าเรือที่เมืองเซมปอร์นาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง จากนั้นเรือแต่ละรีสอร์ทจะมารับไปยังรีสอร์ทในเกาะต่าง ๆ อีกประมาณ 45-60 นาที และด้วยการเดินทางที่ต้องต่อรถและเรือ จึงจำเป็นต้องมาถึงเมืองตาวาอูก่อน 14.00 น.

          สิปาดัน...อยู่ใกล้เมืองไทยขนาดนี้ อีกทั้งไม่มีค่าใช้จ่ายที่สูงลิบลิ่ว แล้วเราจะรอช้ากันอยู่ทำไม บินลัดฟ้าไปสัมผัสทะเลแห่งนี้กันเลย

                                  ที่มา  :  http://travel.kapook.com/view122159.html